ออกเดินทางครั้งใหม่กับหัวใจดวงเดิม –(2)– เสียขาให้ผาหล่มสัก :P

เช้าวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นเช้าวันที่สองของเราบนอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแห่งนี้

เรามีนัดกับเจ้าหน้าที่ตอนเวลาประมาณตีห้า เจ้าหน้าที่บอกว่าจัดกับพระอาทิตย์ไว้ จะพาพวกเราไปเจอ นักท่องเที่ยวตาดำๆหลายสิบคนก็ได้แต่หวังว่าคุณพระอาทิตย์คงจะไม่เบี้ยวนัด เพราะกว่าพวกเราจะขุดร่างอันปวดร้าวและอุ้ยอ้ายขึ้นมาจากที่นอนอันแสนอุ่นมันไม่ง่ายเลย ขอให้ได้พบเจอบรรยากาศอันสวยงามดังใจด้วยเถอะ เพี้ยง!

ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ พวกเราก็โผล่หน้าสลอนกันมาถึงผานกแอ่น จุดชมพระอาทิตย์ยอดนิยมจุดนึงบนภูแห่งนี้ ตอนนั้นแทบมองไม่เห็นอะไรเลย ต้องใช้ไฟฉายส่องทางแล้วไปหามุมนั่งกันตามสะดวก ใครมาเร็วก็ได้นั่งริมผา ใครมาช้าก็ต่อแถวหลังไป แต่เรากลับคิดว่าว่าภาพที่สวยงามของจุดนี้น่ะ ไม่ได้มาจากการนั่งริงไซต์แบบที่คิดว่าน่าจะเป็นหรอก

ไม่เชื่อลองดูนะ ตอนนั่งอยู่ริมผาจะได้รูปอย่างนี้

11

แต่ถ้าถอยหลังไปอยู่หลังมวลมหาประชาชน ภาพที่ได้กลับสวยงามไปอีกแบบนึง เห็นต้นสน เห็นผู้คน พร้อมทั้งแสงอาทิตย์ที่เริ่มจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทักทายชาวเรา

12

นั่งเก็บภาพไปเรื่อยๆ เพลินๆ จนพระอาทิตย์โผล่หน้ามาให้เห็นเต็มดวง ใช้อุปกรณ์ทั้งหมดที่แบกขึ้นมาด้วยความยากลำบากให้เต็มที่ ฟินดีเหมือนกัน พร้อมกับไม่เข้าใจตัวเองทำไมต้องขนมาเยอะขนาดนี้

ขาตั้งกล้องที่ได้เอาออกมาใช้แค่ครั้งเดียว
ขาตั้งกล้องที่ได้เอาออกมาใช้แค่ครั้งเดียว
13
คุณพระอาทิตย์มาตามนัด

14

พอแดดเริ่มร้อนก็ต้องอพยพกลับแล้ว โดยเราเดินกลับทางลานพระแก้ว ระหว่างทางเจอต้นไม้จิ๋วน่ารักน่าถ่ายมาโครมาก แต่ถ่ายออกมาแล้วไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เลย 😦

15

16 17

ประมาณ ๗ โมงกว่าๆก็กลับมาถึงบริเวณที่พัก กินโจ๊กหมูซึ่งไม่ค่อยอร่อย  😛 กับน้ำหู้ที่ไม่อร่อย (จืดมาก เทนมข้นใส่เข้าไปเท่าไหร่ก็ยังจืด) และปาท่องโก๋ที่แข็งเหมือนทำค้างคืนมา T_T แต่ว่าอาหารทุกอย่างตั้งแต่ซื้อมาระหว่างทางจนถึงข้างบนภูกระดึงปริมาณเยอะทุกร้าน ถึงแม้มันจะไม่อร่อยแต่เราก็ต้องพยายามกินให้ได้เยอะที่สุด เพราะต้องใช้พลังงานเยอะมากในการเดิน สู้!!!

จากนั้นก็ไปรับเสบียงมื้อกลางวันของวันนี้ที่สั่งไว้ตั้งแต่คืนก่อน ข้าวเหนียวหมูทอด กะเอาไปนั่งกินกลางทางเพราะจะเดินเส้นน้ำตกคงไม่มีอาหารขายระหว่างทางเหมือนเส้นหน้าผา แล้วก็กลับไปจัดกระเป๋าอีกครั้ง ต้องทำสายสะพาย DIY ให้กระเป๋ากันน้ำของเรา (ขาขึ้นภูต้องใช้มือถือขึ้นมาเพราะไม่มีสาย) เอาสายคล้องคอป้ายพนักงานมาทำแล้วมันก็ยังสั้นเกินไปเลยเอาเชือกฟางมาต่อ อนาถมาก แต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินถือไป พวกสัมภาระที่ไม่จำเป็นก็เอาออกไป เอาเลนส์สองตัวกับขาตั้งกล้องออก เพราะต้องพกน้ำและอาหาร ทิชชูเปียก เสื้อกันฝน และลูกๆอีกสองตัว แถมต้องเดินคนเดียวไม่มีเพื่อนให้ไถน้ำ ทิชชู และสเปรย์กันทากแล้ว T_T

เป็นอีกหนึ่งบทเรียนในชีวิตของเราเลยนะ ว่าถึงเรารวมตัวกันกับเพื่อนๆมาเที่ยว แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ และแต่ละคนมีความเห็นและความจำเป็นที่ไม่เหมือนกัน เราก็สามารถแยกทางกันชั่วคราว โดยยังสนุกกับเรื่องราวระหว่างทางได้ คือเพื่อนเราไม่อยากเดินไกลๆ บางคนก็ขาเจ็บ เลยอยากจะเช่าจักรยานขี่เที่ยว แต่เราเนี่ยฝีมือการขี่จักรยานเข้าขั้นกาก ขนาดปั่นทางราบบนถนนยังสามารถล้มได้ จนเข็ดไปแล้ว จะให้มาปั่นบนภูที่ถนนขรุขระและเป็นดินเป็นทราย ทำใจไม่ได้จริงๆ ให้เดินขาลากยังดีซะกว่ามาเสี่ยงปั่นจักรยานแล้วตกหน้าผาตาย เราเลยขอแยกตัวมาเดินคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ

มันก็หวิวๆเหมือนกันนะ ถึงเราจะเคยเที่ยวคนเดียวบ่อย แต่ประสบการณ์เดินป่าคนเดียวครั้งล่าสุดคือเกือบโดนลิงกัดที่สิงคโปร์ ก็หวังว่าคราวนี้คงจะรอดปลอดภัย หุหุ

แผนการคร่าวๆคือเราจะออกเดินไปก่อน แล้วไปเจอกับเพื่อนที่แถวๆน้ำตกถ้ำใหญ่ แล้วหลังจากนั้นก็จะแยกย้ายกันไปคนละทาง เพื่อนปั่นออกไปทางหน้าผาแต่เราเดินเส้นน้ำตกแล้วเวียนมาเจอกันตรงจุดหมายปลายทางคือผาหล่มสัก

18

จากตรงอุทยาน ตอนแรกก็เดินไปทางที่จะไปผาหมากดูกก่อน ผ่านตรงต้นสนของในหลวงแล้วจะเจอทางแยก ทั้งสองทางสามารถไปถึงผาหล่มสักได้เหมือนกัน ทางตรงไปก็จะตรงไปทางเลียบหน้าผา แต่เราจะต้องเลี้ยวขวาเพื่อไปเส้นน้ำตก แต่ แต่ แต่…. ด้วยความเฟอะฟะของเรา อ่านป้ายแล้วไม่เห็นคำว่าน้ำตกถ้ำใหญ่ เราเลยนึกว่าน่าจะยังไม่ใช่แยกนี้ เดินเลยไปก่อนละกัน ตอนนั้นเป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารักอยู่กลางทางเลยค่ะ เดินไปได้ประมาณ ๕๐๐ เมตร จนรู้สึกว่าไม่น่าจะมีทางแยกแล้ว น่าจะตรงยาวไปจนถึงผาหมากดูกเลย เราคงเดินเลยทางที่ถูกต้องมาแล้วเป็นแน่ โอ้ว ม่ายยยยย T_T เลยโทรไปถามเพื่อน ปรากฎว่าไปผิดแยกจริงๆ กรรมมากๆ อุตส่าห์รีบเดินออกมาก่อนจะได้ไปถึงก่อนจักรยาน ปรากฎว่าเดินหลงทางไป-กลับก็ ๑ กิโลเมตรพอดี เซ็งมากๆ หลงทางเป็นอาชีพจริงๆ บนภูกระดึงยังหลงได้ คิดดู

20

เดินย้อนกลับมาตรงทางแยกแล้วก็เลี้ยวไปทางที่ถูกต้อง -*- เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอป้ายบอกทางตลอด ป้ายถี่มากไม่ควรจะหลงทางเลย ฮ่าๆ ก็เดินๆๆไปเรื่อยๆ จนเจอลานพระพุทธเมตตา เดินไปสักการะองค์พระขอพรให้การเดินทางวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แล้วก็เดินมุ่งหน้าต่อ เจอน้องกลุ่มนึง ๔ คน กำลังพยายาม setup อุปกรณ์แล้วถ่ายรูปหมู่กันอยู่ เราเดินตามมาก็ถามว่าจะให้ช่วยถ่ายรูปให้ไหมแต่เค้าก็จะถ่ายกันเอง จนเดินๆต่อไปก็เจอกันอีก เค้าก็เลยชวนคุย พอรู้ว่าเราเดินคนเดียวเลยชวนเดินไปด้วยกัน ตอนแรกก็คิดว่าคงไปแยกกันที่แถวน้ำตกเพราะไม่รู้ต้องรอเพื่อนอีกนานไหม กลุ่มนี้เค้าไม่มีแพลนอะไรเลยรู้แค่จะไปผาหล่มสัก เดินตามป้ายที่ชี้ไปผาหล่มสักตลอด พอเห็นเราจะแวะน้ำตกเค้าเลยแวะด้วย

ตอนเดินลงน้ำตกนี่มีเสียวลื่นเหมือนกัน แต่ทุกคนเดินกันเก่งมาก คล่องมาก ไม่น่าเชื่อเลย เพราะตอนแรกเห็นแต่งตัวเหมือนจะไปปิคนิกที่สวนหลังบ้าน สะพายกระเป๋าแฟชั่น บางคนใส่ผ้าใบธรรมดา บางคนใส่รองเท้าเหมือนคัทชูเลย ไอ่เรานี่แต่งมาเต็มยศ แต่พอเจอทางยากๆเรานี่เดินเป็นป้าเลยอะ รอเก๊าด้วยยยยยย เก๊าแก่แล้ว ฮ่าๆๆ

21

แค่เดินลงก็ยังเหนื่อย เพราะตื่นเต้นกลัวลื่น จริงๆมันมีทางลงไปได้อีกแต่ไม่อยากลงละ กลัวขึ้นมายาก ฮ่าๆ (เพิ่งมารู้ว่าก้อนหินสีเขียวที่เค้าถ่ายรูปกับใบเมเปิลอยู่แถวๆน้ำตกถ้ำใหญ่นี่ล่ะ ไว้คราวหลังต้องมาเดินตามหา) เพื่อนใหม่ก็ชวนอีกว่าเดินไปด้วยกันเถอะ จะได้มีเพื่อนคุย เราก็ตัดสินใจว่า เอาวะ ไปไหนไปด้วย ดีกว่าเดินคนเดียว แต่พอจะโทรศัพท์หาเพื่อนดันไม่มีสัญญาณซะงั้น ซวยละอยู่ดีๆจะชิ่งหนีไปเลยก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวพวกนั้นมันหาเราไม่เจอแล้วจะรอจนเสียเวลาไปใหญ่ แต่โชคดีที่ตอนเดินขึ้นมาจากน้ำตกเจอเพื่อนเพิ่งมาถึงพอดี ก็เลยบอกลากันตรงนั้น บอกว่าเราได้เพื่อนใหม่แล้ว ลาก่อน เจอกันที่ผาหล่มสักเลยนะ ฮ่าๆๆ เรานี่ไร้เยื่อใยมาก ได้ใหม่ลืมเก่า  😛

พอมาร่วมทางกันก็เลยได้รู้ว่าเพื่อนใหม่เป็นคนขอนแก่น อายุน้อยกว่าเราทุกคนเลย ๒๑, ๒๖, ๒๗ เราเลยกลายเป็นพี่ใหญ่ไปซะงั้น มีคู่นึงเป็นแฟนกัน เดินกันไป ดีกันบ้าง งอนกันบ้าง น่ารักดี แล้วตอนที่แนะนำชื่อกันอยู่ก็มีหนุ่มๆเดินตามมาอีกกลุ่ม ๔-๕ คน ก็มาขอแนะนำตัวด้วย คุยกันเฮฮาเหมือนเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาเที่ยวด้วยกันเลย ชอบจัง มิตรภาพระหว่างทางหาได้ไม่ยากเลยขอเพียงแค่เราเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ^^ แต่เราจะสนิทกับน้องที่ชื่ออุ้มที่สุด ตอนแรกก็เดินเกาะกลุ่มกัน แต่หลังๆอุ้มจะเดินรั้งท้ายหยุดถ่ายรูปนั่นนี่ตามทาง เราเลยหยุดถ่ายด้วยเลยได้คุยกับอุ้มเยอะสุด

นุ้งอุ้ม
นุ้งอุ้ม

อุ้มเรียนป.โทอยู่ ม.มหาสารคาม คณะวิทยาศาสตร์เอกพืชพรรณอะไรซักอย่าง เลยชำนาญเรื่องพืชมาก ชี้และสอนนั่นนี่เราตลอดทาง รู้สึกดูดีมีความรู้กว่าที่เคยๆมาก ทุกทีก็เดินดุ่มๆไม่เคยรู้เรื่องอะไร รู้แค่สวยหรือไม่สวยอะไรแค่นี้

23
หม้อข้าวหม้อแกงลิง
24
น้องเห็ด

ทางเป็นดินเป็นทราย แต่ด้วยช่วงนี้มีฝนตกลงมา บางช่วงมันเลยเละ บางช่วงก็ต้องเดินลุยลำธารด้วย แล้วรองเท้าเรานี่เพิ่งมารู้ว่าพอมันเปียกแล้วแห้งยาก ก็เลยพยายามไม่ให้น้ำเข้า เดินกระย่องกระแย่ง แต่สุดท้ายก็ไม่รอด ตกหล่มไปหลายที จนตอนหลังต้องถอดถุงเท้าออกเพราะแฉะเลย

เดินไปเรื่อยๆ ผ่านสระอโนดาตที่ไม่สวยเลย เราหยุดมองแล้วก็คิดว่า ถ้าไม่สวยขนาดนี้กินรีที่ไหนจะลงมาเล่นน้ำนะ แหะๆ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เลยหยิบกล้องขึ้นมาจะถ่ายเป็นที่ระลึก แต่หามุมไม่ได้จริงๆ ไม่แม้แต่จะถ่ายรูปมาซัก ๑ รูปเลย แล้วก็เดินปุเลงๆผ่านน้ำตกถ้ำสอเหนือ ตอนนั้นกำลังจัดการกับรองเท้าอยู่เลยไม่ได้สนใจน้ำตกเท่าไหร่ เพิ่งมารู้ทีหลังว่าถ้าเดินลงไปจะเห็นว่าน้ำตกนี้ใหญ่และสวยงามมาก เสียดายอีกแล้ว ไว้คราวหลังจะมาชมใหม่นะ ^^”

24
ลำธารระหว่างทางที่ต้องเดินฝ่าไป
25
เละมาก เหยียบผิดมีจมอะ
26
ป่าสนกับท้องฟ้าใสๆและแดดที่แผดเผา

หลังจากนั้นก็เป็นการ เดิน เดิน และเดิน ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านป่าสน ผ่านป้ายบอกทาง ทางดีบ้างเละบ้าง เหมือนทางมันไปไม่สิ้นสุด ไม่ได้เจ็บขาแต่นิ้วโป้งหายไปแล้ว ชาจนแทบไม่มีความรู้สึกแล้ว แถมหิวมากอีกต่างหาก แต่ว่าไม่มีที่ทางให้แวะพักได้เลย แดดก็ร้อนด้วย ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดกลุ่มเราก็ไปถึงผาหล่มสักตอนเวลาเกือบๆบ่ายโมง คือนึกจะถึงก็ถึง ถึงแบบไม่รู้ตัวเลยอะ

น้องๆเค้าก็สั่งข้าวกินกัน แต่เรามีเสบียง (ที่แบกหนักเดินมาเกือบ ๑๐ กิโล) เลยอุดหนุนแต่น้ำไม่ได้ซื้อข้าว และพบว่าข้าวที่ขายที่นี่เริ่มต้นที่ราคา ๖๐ บาท ราคาเดียวกับที่ซื้อและแบกมาจากร้านตรงวังกวางเลย คิดว่าจะแพงกว่านี้ แล้วเราจะแบกหนักมาเพื่ออะไรเนี่ย ร้องไห้ T_T

ตรงร้านค้าแถวผาหล่มสักมีสัญญาณโทรศัพท์เต็มเปี่ยม 3G ก็มี เลยดูซักหน่อยว่าเพื่อนถึงไหนแล้ว เลยได้รู้ว่าเมื่อครึ่งชม.ที่แล้วเพิ่งถึงสระอโนดาดเอง แล้วเส้นทางจักรยานนี่จะต้องอ้อมไปออกเส้นหน้าผา ซึ่งระยะทางจะไกลกว่าที่เราเดินมาซะอีก เราเพิ่งมารู้หลังจากนั้นว่าการเดินทางด้วยจักรยานมันย่ำแย่มากเพราะแก๊งนั้นเค้าไปทางสระแก้วที่ทางเละกว่าเส้นเราอีก ลงหล่มกันสนุกเลย (แต่ถ้าเป็นเราคงไม่ลงไปแค่เท้าแน่ๆ อาจจะลงไปทั้งตัวเลย)

ถึงจะเป็นจุดที่ไกลจากที่ทำการอุทยานที่สุด แต่ตรงผาหล่มสักนี่เรียกได้ว่า full service เลยนะ นอกจากสัญญาณโทรศัพท์แล้ว ยังมีทั้งร้านอาหาร ขายข้าว ขายส้มตำ ไก่ย่าง เครื่องดื่มต่างๆ ร้านกาแฟ ของที่ระลึก และยังมีห้องน้ำที่สะอาดมากด้วย (มี shelter เจ้าหน้าที่ คล้ายๆเจ้าหน้าที่พยาบาลด้วย ไม่แน่ใจว่าดูแลเรื่องอะไรอยู่ น้องที่ไปด้วยกันแกล้งเดินไปขอน้ำมันมวยเค้าบอกไม่มี หรืออาจจะคอยดูแลความปลอดภัยทั่วไปก็เป็นได้) เรากินข้าวกินน้ำ พักผ่อนกันพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาไปเยือนผาหล่มสักแล้ว เย่

27
รูปหมู่ กับซันนี่และชาโค มี้ดันหลับตาซะงั้น -*-

 

ถึงจะเคยมาครั้งนึงแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เราก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเหมือนมาครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าต่างวัน เวลา ฤดูกาล สิ่งแวดล้อม คนที่มาด้วย รวมถึงสภาพร่างกายและจิตใจก็ไม่เหมือนกัน ถ้าครั้งต่อๆไปมีโอกาสได้มาเยือน ก็เชื่อว่าความรู้สึกมันก็จะเปลี่ยนไปตามด้วยเช่นกัน มันคือสเน่ห์ของที่แห่งนี้นะ ทำไมคนหลายๆคนต้องดั้นด้นเดินทางมาไกล ยอมเหนื่อย ยอมลำบาก เสียเงิน เสียเหงื่อ (และยังอาจจะเสียขาด้วย ฮ่าๆ) ถ้าการได้ถ่ายภาพกับป้ายผู้พิชิตภูกระดึงคือความภาคภูมิใจ แล้วจะต้องเดินต่อมาอีกเป็นสิบกิโลเพื่ออะไร เราหาคำจำกัดความมาอธิบายไม่ได้จริงๆนะ ถ้าจะพูดให้ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น “มนต์สเน่ห์แห่งผาหล่มสัก” ล่ะมั๊ง ที่ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาเยือน และสัมผัสความรู้สึกพิเศษแบบนี้ ที่แห่งนี้ไม่ใช่จุดที่สวยที่สุดบนภูกระดึง แต่เป็นจุดที่คนที่ขึ้นมาเที่ยวภูกระดึงแล้วยังไม่มาให้เห็นกับตา ก็เหมือนกับยังมาไม่ถึงล่ะมั๊ง

28
ยืนฟี่ตรงผาที่ยื่นๆนั่นแล ดูแบบนี้แล้วใครจะรู้เนี่ยถ้าไม่บอก ><

เอาจริงๆถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะว่าแดดแรงมากแล้วมันกลายเป็นถ่ายย้อนแสง ภาพก็เลยมืดๆ ช่วงเวลาที่น่าจะสวยงามที่สุดบริเวณนี้น่าจะเป็นช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่วันนี้เราจะเดินกลับทางเส้นหน้าผากันและวางแผนจะไปรอพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก (หลังจากวันแรกอกหักพระอาทิตย์ไม่มาตามนัด) บรรดาเพื่อนฝูงที่ปั่นจักรยานก็หายเงียบกันไปเลย ครั้นจะรอก็กลัวจะเย็นเกินไปแล้วต้องเดินกลับตอนมืดจะลำบาก ก็เลยจำจากลาผาหล่มสักมาในตอนนั้น เราได้แวะรับบราวนี่จากร้านกาแฟชมพู่มะเหมี่ยวที่สั่งจองไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ตอนนั้นอิ่มข้าวอิ่มน้ำมากเลยไม่มีโอกาสได้นั่งกินที่ร้าน เก็บทั้งกล่องมาเลยไว้กินกลางทางแทน ไว้คราวหน้าขอไปนั่งเก็บบรรยากาศในร้านกาแฟแห่งแรกบนภูกระดึงเลยนะคะ วันนี้ได้แค่ถ่ายรูปหน้าร้านมัดจำไว้ก่อน ^^

29

เดินย้อนมาถึงผาแดงก็เจอเหล่าสมาชิกผองเพื่อนเรา เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซักหน่อย ที่ทำหน้าเหนื่อยน่ะแกล้ง จริงๆชิลกันมากกกกกก จริงๆนะ

30

แล้วเพื่อนๆไปเที่ยวผาหล่มสักกันต่อ ส่วนเราก็เดินย้อนจากลามา ส่วนน้องๆในกลุ่มเราก็เริ่มเดินถอดรองเท้ากันแล้ว แต่ละคนบอกว่ารู้สึกดีกว่าใส่รองเท้ามากๆ แต่เรายังไม่ค่อยปวดเท้านัก นอกจากนิ้วโป้งที่ชาไปแล้ว เลยไม่กล้าถอดรองเท้าเดิน ขากลับนี่มีแต่เสียงโอดครวญของเหล่าสมาชิก มันก็ปวดเมื่อยอะนะ แต่จำได้ว่าไม่ทรมานเท่าครั้งแรกที่ได้เดินบนเส้นทางนี้ แบบนี้แปลว่าครั้งต่อๆไปมันต้องดีขึ้น…แน่ๆเลย

31

หม้อข้าวหม้อแกงลิงบนเส้นทางเดินเลียบผามีเยอะมากๆ จากตื่นเต้นก็กลายเป็นเฉยๆแล้ว บางต้นก็เต่งตึงบางต้นก็เหี่ยว เขียวบ้างแดงบ้าง ก็ชมพืชพรรณธรรมชาติกันไป เราเดินกันไม่เหนื่อยเท่าไหร่นะ แค่พักทุกผา แวะกินทุกผา นั่งลงแต่ละครั้งนี่ไม่อยากจะลุกขึ้นเดินต่ออีกแล้ว แต่ดูฟ้าฝนแล้วก็หวั่นๆเหมือนกันนะ มาจากทางหล่มสักนั่นแหละ ไม่รู้มันจะไล่ตามมาเมื่อไหร่ แต่ก็ยังพออุ่นใจบ้างที่ท้องฟ้าฝั่งเต๊นท์ยังไม่ครึ้มมากนึก พอพ้นจากผาเหยียบเมฆมา กลุ่มเพื่อนเราก็ปั่นจักรยานกลับมาทันพอดี และอาสาจะรับสัมภาระของเรากลับไปให้

เดินมาเรื่อยๆจนถึงผาหมากดูก ฝนตกซะงั้น (อดดูพระอาทิตย์ตกอีกละ!!) แต่ตกปรอยๆนะก็เลยตัดสินใจไม่หลบฝน เพราะเห็นว่ามีเมฆดำหนึ่งก้อนเล็กบนหัว คิดว่ารีบๆเดินให้พ้นตรงนั้นน่าจะดีขึ้น แต่เดินแล้วเดินเล่า จ้ำจนขาหายปวดเมื่อยกันเลยล่ะ ฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดตก แถมลงเม็ดหนักขึ้นอีกต่างหาก พอมองขึ้นไปบนฟ้า อ้าวเมฆดำแผ่กระจายเข้ามาเต็มทางแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนั้น กลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปต่อไปก็ไปไม่ถึงซะแล้ว เลยต้องเดินตากฝนกันไป ๒ กิโล คิดถึงเสื้อกันฝนที่ฝากเพื่อนกลับเต๊นไปจังเลย แง 😦

กลับมาถึงที่ทำการ ก็พบกับมวลมหาประชาชนจำนวนมหาศาลที่ขึ้นภูมาในวันหยุดยาววันปิยะมหาราช คนเยอะจนห้องน้ำอุทยานคนล้น คนไปอาบน้ำในห้องสุขา จะบ้าตาย หนาวก็หนาว ตัวก็เหนียว แถมปวดฉี่ ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากมาเที่ยวในหน้าเทศกาลเพราะเหตุนี้แหละ เศร้าใจ วันนี้ก็ไม่ต้องอาบน้ำไปละกัน เช็ดตัวแล้วรีบเปลี่ยนชุดดีกว่าจะได้ไม่เป็นหวัด ที่ไม่อาบนี่ไม่ใช่เพราะไม่อยากอาบนะ แต่เพราะกลัวเป็นหวัดต่างหาก อิอิ

ไม่น่าเชื่อเหมือนกันเนาะว่ามาเที่ยวภูกระดึงจะสร้างมิตรภาพได้มากมายขนาดนี้ เราขึ้นภูมากับเพื่อนกลุ่มนี้

20161022_061405

แล้วก็มาเจอกับเพื่อนอีกกลุ่ม

20161022_162523

และการที่น้องกลุ่มนี้มาถามไถ่แนะนำตัวกับเรา พวกเค้าก็ได้รู้จักเพื่อนมาเพิ่มอีกกลุ่มด้วยอีกต่างหาก

received_686779131490188

แบบนี้แล้วจะไม่ให้เรารักภูกระดึงได้ยังไงล่ะ 🙂

2 thoughts on “ออกเดินทางครั้งใหม่กับหัวใจดวงเดิม –(2)– เสียขาให้ผาหล่มสัก :P

Leave a comment